ข้อค้นพบและการวิเคราะห์สำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพทางศิลปะในประเทศไทย จากรายงาน Southeast Asia Artistic Freedom RADAR ปี 2023-2024
การต่อต้านอย่างเงียบงัน: การตรวจสอบและควบคุมศิลปะและวัฒนธรรมในประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง
ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2023 ภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมืองของประเทศไทยก่อให้เกิดความหวังในการปฏิรูป แต่แรงขับเคลื่อนดังกล่าวกลับเผชิญการกดทับเชิงโครงสร้างอย่างรวดเร็ว บทความนี้วิเคราะห์การปิดกั้นและการจำกัดเสรีภาพทางศิลปะและวัฒนธรรมในประเทศไทยหลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2023 โดยศึกษาการดำเนินคดีทางกฎหมาย การดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคง การปิดกั้นหรือยกเลิกจากเจ้าของพื้นที่ ภาคธุรกิจ ชุมชน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ในช่วงปี 2023-2024 และโครงสร้างอำนาจแบบลำดับชั้นในท้องถิ่นที่ส่งผลให้เกิดการเซ็นเซอร์ตนเองอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะนอกพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อศิลปิน นักกิจกรรม และแม้กระทั่งเด็กและเยาวชนที่ต้องการใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นพื้นที่ในการแสดงออก แม้การเคลื่อนไหวมวลชนจะลดลง แต่การต่อต้านเชิงวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่นยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเรื่องเล่าทางการเมืองและพื้นที่สาธารณะอย่างต่อเนื่อง
แรงขับเคลื่อนทางสังคมการเมืองและข้อจำกัดของการเมืองเชิงเลือกตั้ง
การประท้วงใหญ่ระหว่างปี 2020-2023 สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมืองอย่างกว้างขวาง โดยมีข้อเรียกร้องในการปฏิรูปประชาธิปไตย ความโปร่งใส และหลักความรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนหลังการเลือกตั้งเปลี่ยนไปภายใต้การปราบปรามที่เข้มข้นมากขึ้น ส่งผลให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองกระจายตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่มีรูปแบบการต่อต้านเฉพาะท้องถิ่นที่ใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือแทนการชุมนุมขนาดใหญ่
การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2023 ของประเทศไทยดูเหมือนจะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญ โดยพรรคก้าวไกลสามารถคว้าชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ในการเลือกตั้ง สะท้อนถึงความปรารถนาอย่างกว้างขวางของประชาชนต่อการปฏิรูปประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับคะแนนนิยมสูง พรรคก้าวไกลก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจากไม่สามารถสร้างพันธมิตรกับพรรคการเมืองอื่น ๆ และไม่ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนที่จำเป็นจากวุฒิสมาชิก การแทรกแซงทางตุลาการในเวลาต่อมา รวมถึงการเข้ามามีบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญ ยิ่งทำให้สถาบันอนุรักษ์นิยมที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจมั่นคงยิ่งขึ้น
การวัดระดับการปราบปราม: ข้อมูลจากปี 2023–2024
ระหว่างปี 2023-2024 พบกรณีการยกเลิก ยุติ ควบคุม หรือจับกุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปะและวัฒนธรรม 15 กรณี ประกอบด้วย 10 กรณีที่เป็นที่รับรู้สาธารณะ ส่วนอีก 5 กรณีได้มาจากแหล่งข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิที่ถูกละเมิดบ่อยที่สุดคือสิทธิในการสร้างสรรค์งานโดยปราศจากการเซ็นเซอร์หรือการข่มขู่ และสิทธิในการมีส่วนร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรม ทั้งนี้ วิธีการที่ใช้ในการปราบปรามเสรีภาพทางศิลปะ ได้แก่ การโจมตีทางสาธารณะบนสื่อออนไลน์ การถอดถอนงานศิลปะออกจากพื้นที่สาธารณะ และการดำเนินคดีกับบุคคล 15 ราย ภายใต้ 4 ข้อหา
ระหว่างปี 2023-2024 การเซ็นเซอร์งานและกิจกรรมทางศิลปะและวัฒนธรรมในประเทศไทยถูกขับเคลื่อนอย่างเป็นยุทธศาสตร์ทั้งโดยหน่วยงานของรัฐและกลุ่มนอกรัฐ โดยมุ่งเป้าสู่กิจกรรมรูปแบบต่างๆ อย่างเป็นระบบ หน่วยงานรัฐมุ่งปราบปรามศิลปะทัศนศิลป์และมรดกทางวัฒนธรรมเป็นหลัก ในขณะที่กลุ่มนอกรัฐสร้างแรงกดดันต่อกิจกรรมฉายภาพยนตร์และการกระจายเสียง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว การดำเนินการเหล่านี้ส่งผลทันที เสียงการแสดงออกถูกปิดเงียบลงโดยไม่ได้ดำเนินการต่อ ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการคุกคามโดยเจตนาเพื่อให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการเซ็นเซอร์ตัวเองและการจำกัดพื้นที่สาธารณะ ประเด็นสำคัญที่ควรสังเกตคือ ประมาณร้อยละ 80 ของงานและกิจกรรมทางศิลปะและวัฒนธรรมเหล่านี้ไม่ได้มีชื่อเสียง ไม่ได้รับการพูดถึง หรือมีการรายงานข่าวจำกัดเพียงในสื่อท้องถิ่นเท่านั้น สถานการณ์ดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายที่ศิลปินและนักเคลื่อนไหวท้องถิ่นต้องเผชิญในการใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อผลักดันประเด็นอ่อนไหวในสังคมไทย ขณะเดียวกัน งานและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับนักวิชาการหรือศิลปินที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่กลับได้รับความสนใจมากกว่า ซึ่งสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำด้านการมองเห็นต่อสาธารณะและความสนใจจากสื่อมวลชน
การจัดหมวดหมู่และบทสรุป
เนื้อหาของงานและกิจกรรมศิลปะและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเมืองถูกเซ็นเซอร์บ่อยที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงท่าทีและบทบาทของรัฐบาลและกลุ่มนอกรัฐต่อความเห็นต่างทางการเมือง นอกจากนี้ การเซนเซอร์ยังขยายครอบคลุมถึงการสื่อสารประวัติศาสตร์และประเด็นสิทธิมนุษยชน ซึ่งสะท้อนการจำกัดบทสนทนาในประเด็นอ่อนไหวอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ การเซ็นเซอร์เนื้อหาด้านบันเทิงและประเด็นเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ยังเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ซึ่งเผยให้เห็นถึงความพยายามในการควบคุมการแสดงออกทางศิลปะและวัฒนธรรมที่แผ่ขยายกว้างขึ้น
ทั้งนี้ เคสซึ่งเป็นที่รับรู้ต่ำถึงปานกลางนั้นแทบไม่มีการรายงานข่าวระดับประเทศหรือไม่มีเลย ได้แก่ การยกเลิกโปรแกรมฉายหนังสั้นว่าด้วยประเด็นสิทธิมนุษยชนโดย Phatthalung Micro Cinema การเฝ้าติดตามของตำรวจต่อวงแร็ป Rap Against Dictatorship (RAD) และการเข้าเยี่ยมและซักถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจในนิทรรศการ Resistance of Commoners
ตัวอย่างเพิ่มเติมของการคุกคามและการปราบปรามงานและกิจกรรมศิลปะและวัฒนธรรม ได้แก่ การถอดถอนวัตถุจัดแสดงที่มีความอ่อนไหวออกจากการนิทรรศการ เช่น เสื้อยืดที่มีข้อความอ้างอิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในนิทรรศการ “Murdered Justice” ที่ ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร (BACC) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross Cultural Foundation- CrCF) เลื่อนการเปิดตัวหนังสือเนื่องจากเนื้อหาที่อ่อนไหว กรณีของศิลปินทอปัดที่ถูกดำเนินคดีตาม มาตรา 112 จากผลงานที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันฯ และนักวาดการ์ตูน ตั้ม จารุวัฒน์ที่เผชิญข้อกล่าวหาเกี่ยวกับงานเสียดสีสถาบันฯ
ในทางตรงกันข้าม กรณีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงได้รับความสนใจอย่างมากทั้งในระดับประเทศและในแวดวงวิชาการ ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเสรีภาพทางวิชาการและเสรีภาพในการแสดงออก ตัวอย่างสำคัญ ได้แก่ คดีฟ้องผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง จากข้อกล่าวหาเรื่องการบิดเบือนประวัติศาสตร์ และข้อถกเถียงเกี่ยวกับการเปิดตัวหนังสือเชิงวิพากษ์ของศาสตราจารย์ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ ซึ่งทั้งสองกรณีได้รับการรายงานอย่างกว้างขวางในสื่อกระแสหลัก และมีการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากทั้งสาธารณชนและแวดวงวิชาการ สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของประสบการณ์การถูกกดปราบตามระดับการมองเห็นและบริบทของพื้นที่
นอกจากนี้ นับตั้งแต่ความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อปี 2014 ประเด็นว่าด้วยความทรงจำ ความรุนแรง และกลุ่มก่อความไม่สงบกลายเป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างยิ่งและเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความมั่นคงแห่งชาติ ส่งผลให้กิจกรรมที่แตะประเด็นเหล่านี้มักดึงดูดการเฝ้าติดตามและตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากฝ่ายความมั่นคง ก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งความระมัดระวังและการเซ็นเซอร์ตนเอง การดำเนินการในพื้นที่สะท้อนความตึงเครียดนี้อย่างชัดเจน เช่น เจ้าหน้าที่เข้าพบและถามคำถามเจ้าหน้าที่ที่ประจำนิทรรศการ Indelible Memory: 20 Years Tak Bai มีการถอดถอนงานศิลปะจัดวางออกจากการจัดแสดงในเทศกาล Kenduri Seni Patani และมีการสกัดกั้นขบวนพาเหรดกีฬาของโรงเรียนตาดีกา*ในอำเภอเมืองปัตตานีและอำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานีโดยอ้างถึงภาพสัญลักษณ์ทางศาสนาและอาวุธจำลอง ตัวอย่างเหล่านี้ตอกย้ำความอ่อนไหวที่ยังดำรงอยู่ต่อการแสดงออกในที่สาธารณะของพื้นที่นี้
แม้ในประเทศไทยมีการแสดงออกถึงการสนับสนุนจากสาธารณชนอย่างกว้างขวางเพื่อต่อต้านการเซ็นเซอร์ในหลายกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่ผู้เกี่ยวข้องเป็นบุคคลมีชื่อเสียง ซึ่งสะท้อนถึงพลังและความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม แต่การดำรงอยู่ของกรณีที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณะเช่นนั้นเผยให้เห็นจุดอ่อนเชิงโครงสร้างและการรณรงค์ที่กระจัดกระจาย ความไม่สอดคล้องเหล่านี้บ่งชี้อุปสรรคที่ยืดเยื้อในการก่อรูปการคัดค้านของสาธารณะที่เป็นเอกภาพ ทำให้เสรีภาพทางศิลปะยังคงเปราะบาง และชี้ให้เห็นช่องว่างสำคัญทั้งในด้านการตระหนักรู้ร่วมและการดำเนินการอย่างเป็นระบบ
การเซ็นเซอร์เชิงพื้นที่และความเปราะบางของการเคลื่อนไหวในชนบท
การเคลื่อนไหวนอกกรุงเทพฯ เผชิญความเปราะบางในแบบเฉพาะตัว ในพื้นที่ต่างจังหวัดและชนบท ศิลปินและนักกิจกรรมจำนวนมากดำเนินกิจกรรมโดยปราศจากการเข้าถึงเครือข่ายระดับชาติหรือทรัพยากรทางการเงินที่เพียงพอ จึงต้องพึ่งพาเงินทุนในพื้นที่และความสัมพันธ์เชิงลำดับชั้นกับผู้มีอำนาจรัฐ การพึ่งพาดังกล่าวทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อแรงกดดันและการเซ็นเซอร์อย่างมาก ตัวอย่างเช่น การยกเลิกการฉายภาพยนตร์สั้นในประเด็นสิทธิมนุษยชนของ Phatthalung Micro Cinema ภายใต้แรงกดดันทางธุรกิจ และการบังคับให้ถอดถอนผลงานศิลปะในเทศกาล Kenduri Seni Patani ล้วนสะท้อนการกดปราบระดับท้องถิ่น ยิ่งไปกว่านั้น เพียงการปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงก็สามารถสร้างความหวาดกลัวได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการตั้งข้อหาใดๆ เช่น เจ้าหน้าที่กองกำลังผสมในจังหวัดนราธิวาสที่แทรกแซงขบวนแห่วัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อยึดธงผู้นำศาสนา หรือเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในปัตตานีที่ขัดขวางขบวนกีฬาของโรงเรียนตาดีกาเพราะมีป้ายสัญลักษณ์ทางศาสนาและอาวุธจำลอง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบเชิงยับยั้ง (chilling effect) แม้ไม่มีการจับกุมก็ตาม
อีกตัวอย่างสำคัญหนึ่งคือ กรณีที่เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งคณาจารย์และนักศึกษาจากคณะวิจิตรศิลป์จัดนิทรรศการศิลปะเชิงประท้วงหลังมหาวิทยาลัยเพิกเฉยต่อคำขอใช้สถานที่ เมื่อพวกเขาจัดกิจกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ มหาวิทยาลัยจึงตอบโต้ด้วยการยื่นฟ้องข้อหาทำให้เสียหายต่อทรัพย์สินและบุกรุก แม้อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในเบื้องต้น แต่ภายหลังจากแรงกดดันของตำรวจได้มีการรื้อฟื้นข้อกล่าวหา ทำให้คดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล เหตุการณ์นี้ตอกย้ำข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่นักวิชาการและศิลปินต้องเผชิญ แม้ภายในพื้นที่ของสถาบันเองก็ตาม
มาตรา 112 กับการทำให้การแสดงออกทางศิลปะกลายเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
จากกรณีการกดปราบทางศิลปะและวัฒนธรรมที่มีการบันทึกไว้ 15 กรณี มี 3 กรณีที่ถูกตั้งข้อหาตาม มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา (หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) นอกจากนี้ ในจำนวนดังกล่าวมี 8 กรณีที่มีการดำเนินการโดยมีกฎหมายรองรับ ขณะที่อีก 7 กรณีเกิดขึ้น โดยปราศจากฐานทางกฎหมายที่ชัดเจนสะท้อนการกดปราบและการข่มขู่โดยพลการ
มาตรา 112 มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศแห่งการกดปราบ ภายในช่วงปลายปี 2024 มีผู้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้อย่างน้อย 274 คน นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ศิลปิน โดยเฉพาะผู้สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์และนักวาดภาพล้อการเมือง ต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างรุนแรง เช่น ‘ทอปัด’ ศิลปินที่ถูกตัดสินจำคุกแต่ให้รอลงอาญาจากงานศิลปะที่เผยแพร่ออนไลน์ ขณะที่นักวาดการ์ตูน ‘ตั้ม จิรวัฒน์’ ต้องเผชิญความท้าทายทางกฎหมายหลายประการ
บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวนี้ยังขยายไปถึงภัณฑารักษ์และเจ้าของสถานที่ เจ้าหน้าที่ได้ร้องขอให้ตัดเนื้อหาที่อ่อนไหวทางการเมืองออกจากงานเปิดตัวหนังสือของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) และได้ขอให้นำวัตถุจัดแสดงในนิทรรศการ “Murdered Justice” ที่ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร (BACC) ซึ่งสะท้อนผลกระทบเชิงยับยั้ง ของมาตรา 112 ที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ส่งผลให้เจ้าของสถานที่ ภัณฑารักษ์ และผู้จัดงานเซ็นเซอร์ตนเองมากขึ้น ทำให้ขอบเขตของการถกเถียงและพื้นที่สำหรับการแสดงออกทางศิลปะเชิงวิพากษ์แคบลง
พื้นที่วิชาการภายใต้การคุกคาม
การถกเถียงเชิงวิชาการถูกควบคุมตรวจตราในทำนองเดียวกัน กรณีการฟ้องร้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริงในข้อกล่าวหาเรื่องการบิดเบือนประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นการทำให้การศึกษาวิจัยเชิงวิพากษ์ถูกปะปนกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งบั่นทอนเสรีภาพทางวิชาการอย่างมีนัยสำคัญ การดำเนินการเช่นนี้ทำให้เกิดความหวาดหวั่นต่อการศึกษาค้นคว้าในประเด็นการเมืองที่อ่อนไหว กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อบรรดานักวิจัยและนักวิชาการที่พยายามตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ต่อประวัติศาสตร์และการเมืองไทย ประเด็นเกี่ยวกับกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงเป็นหัวข้อที่ถูกจำกัดเป็นพิเศษ สะท้อนพื้นที่แห่งความอ่อนไหวและข้อจำกัดที่ยังคงอยู่ในการวิจัยทางวิชาการ
ข้อถกเถียงที่รายรอบศาสตราจารย์ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของแรงกดดันเหล่านี้ ภายหลังการตีพิมพ์หนังสือเชิงวิพากษ์ว่าด้วยอิทธิพลของกองทัพในสังคมไทย งานเปิดตัวหนังสือที่กำหนดจัดขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเผชิญการแทรกแซงเชิงสถาบัน อันเป็นผลจากคำวิจารณ์ต่อสาธารณะของฝ่ายทหาร งานดังกล่าวถูกผู้บริหารมหาวิทยาลัยสั่งระงับในระยะแรก แต่ท้ายที่สุดก็สามารถจัดได้ตามแผน โดยได้รับการสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญจากสาธารณชนและแวดวงวิชาการ ตอกย้ำความตึงเครียดที่ดำรงอยู่ระหว่างเสรีภาพทางวิชาการกับอำนาจรัฐ
การต่อต้านเชิงวัฒนธรรมและการคงอยู่ของความทรงจำ
แม้การเคลื่อนไหวมวลชนจะลดลง การต่อต้านเชิงวัฒนธรรมกลับมีความหลากหลายมากขึ้นและดำเนินอย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อธำรงรักษาความทรงจำทางการเมืองและการแสดงความไม่เห็นด้วย นิทรรศการ Indelible Memory: 20 Years Tak Bai ซึ่งรำลึกถึงความรุนแรงโดยรัฐ และนิทรรศการ Resistance of Commoners ที่เชียงใหม่ สะท้อนความยืนหยัดของการเคลื่อนไหวจากชุมชนระดับรากหญ้าท่ามกลางอุปสรรคจากระบบบริหารและการคุกคามจากเจ้าหน้าที่ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ถือเป็นรูปแบบการรณรงค์ทางเลือกที่ยังคงทำให้ประเด็นสำคัญถูกมองเห็นอยู่เสมอ พร้อมทั้งสานต่อการถกเถียงถึงความยุติธรรม ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน แม้จะมีความพยายามเชิงระบบที่จะทำให้เงียบเสียง
บทสรุป
ภูมิทัศน์ทางสังคมการเมืองของไทยภายหลังการเลือกตั้งปี 2023 สะท้อนถึงปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างความหวัง ความใฝ่ฝันกับข้อจำกัด การกดปราบเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากในกฎหมาย การเฝ้าระวัง และการข่มขู่ในระดับพื้นที่ ได้สกัดกั้นการระดมมวลชนอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีการกดปราบจำนวน 15 กรณีที่บันทึกไว้ระหว่างปี 2023-2024 สะท้อนรูปแบบเสรีภาพที่ถูกควบคุม อย่างไรก็ตาม การต่อต้านเชิงวัฒนธรรมที่กระจัดกระจายยังคงดำรงอยู่ โดยมุ่งหมายเพื่อรักษาพื้นที่สำคัญสำหรับการสนทนา ความทรงจำ และการโต้แย้ง ตอกย้ำความยืนหยัดของภาคประชาสังคมไทยและข้อเรียกร้องต่อการปฏิรูปประชาธิปไตยอย่างไม่หยุดยั้ง
หมายเหตุ
โรงเรียนตาดีกา (Tadika) เป็นสถานศึกษาอิสลามที่ตั้งอยู่เป็นหลักในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย มักตั้งอยู่ภายในหรือใกล้มัสยิด มุ่งสอนจริยธรรม หลักการ และความรู้พื้นฐานทางศาสนาอิสลามแก่เด็กและเยาวชน กองทัพมักเข้าเยี่ยมโรงเรียนตาดีกา โดยแสดงความกังวลว่าเด็กและเยาวชนที่เข้าเรียนอาจได้รับอิทธิพลหรือถูกชักชวนให้เข้าร่วมกลุ่มผู้เห็นต่าง
(This article was translated by Patporn Phoothong. Read the original report here.)

Patporn (Aor) Phoothong
Patporn (Aor) Phoothong is a researcher focusing on peace education via peace museum and archives. Her current research is a feasibility study for the establishment of a peace museum connected to the deep south of Thailand. She has also co-founded an initiative to establish a 6 October 1976 Massacre Museum and Deep South Museum and Archives’ Initiative. Her focus has been on using museums and archives as a tool for conflict transformation and ending the culture of impunity. In addition, Aor also serves as a consultant for an international development organization specializing in violent extremism, gender dynamics, and peace process.
- Patporn (Aor) Phoothong#molongui-disabled-link
Similar Reads


